วิธีทําให้ผมยาวเร็ว
1.ทานโปรตีน
เพราะสารอาหารที่เป็นพวกโปรตีนนั้นสามารถปกป้องและซ่อมแซมเส้นผมของเราได้ โดยจะช่วยลดการหลุดร่วงและการแตกหักของเส้นผม ทำให้เส้นผมแข็งแรง และยาวเร็วขึ้นได้ กินปลา พืชผักใบเขียว และบลูเบอรี่เป็นแหล่งอาหารที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ซึ่งจะทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น และทำให้เลือดเหล่านั้นไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย รวมทั้งเส้นผมด้วย ทำให้ผมของเรามีชีวิตชีวาขึ้นและทำให้เส้นผมแข็งแรง
2.การเลือกครีมหรือยาสระผมให้เหมาะกับหนังศีรษะของเรา
เพราะคนเรานั้นมีหนังศีรษะที่ไม่เหมือนกัน บางคนเป็นคนแพ้ง่าย ซึ่งจะใช้ยาสระผมไม่เหมือนกัน ควรเลือกให้เหมาะกับหนังศีรษะและเส้นผมของตนเองเป็นดีที่สุด และในการสระผมนั้นควรมีการนวดศีรษะด้วย เพราะการนวดหนังศีรษะนั้นช่วยกระตุ้นการไหลของเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ทำให้ผมของเรายาวเร็วขึ้น
3.ตัดเล็มปลายผม
ควรมีการตัดผมบ้าง เพราะการเล็มผมบ่อย ๆ จะช่วยทำให้ผมยาวเร็วขึ้นและยังถือว่าเป็นการกำจัดผมแตกปลายไปในตัวอีกด้วย
4.การออกกำลังกายให้เส้นผม
โดยการหมั่นนวดศีรษะขณะสระผม หรือออกกำลังกายโดยการก้มศีรษะลงค้างไว้ 30 วินาที ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมา ทำเช่นนี้ทุกวันจะทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงเส้นผมที่ศีรษะ ใช้แปรงผมที่มีขนอ่อนนุ่ม แปรงผมอย่างเบา ๆ โดยเลือกใช้หวีซี่ใหญ่ และห่างในการหวีผม และไม่หวีผมในขณะที่ผมยังเปียกอยู่ แต่หวีในช่วงที่ผมแห้งแทน การหวีผมอย่างสม่ำเสมอจะช่วยทำให้เส้นผม แข็งแรง และยาวเร็วขึ้นด้วย
5.หวีผมให้ถูก
หลีกเลี่ยงการทำให้เส้นผมขาดและหลุดร่วงด้วยการไม่หวีผมขณะยังเปียกอยู่ เลือกใช้หวีซี่ใหญ่และห่างในการหวีผมช่วงผมเปียก
วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ลูกพรุน ราชาแห่งไฟเบอร์
"สวยจากภายใน" สาวไหนๆ ก็ใฝ่ฝัน
>>>เพราะเป็นความสวยเดียวที่ยาวนานและยั่งยืน สวยแบบ Perfect น่ะง่ายนิดเดียว แค่คุมตัวเองให้อยู่หมัดด้วยเคล็ดลับดูดี อย่างขั้นตอนแรก..เริ่มจากพักผ่อนให้เพียงพอ เอ็กเซอร์ไซส์ผิวหน้าบ้าง โดยใช้นิ้วมือกดนวดเป็นวงกลมให้ทั่วใบหน้า ทั้งหน้าผาก แก้ม และคางวันละครั้ง กระตุ้นเลือดลมให้ไหลเวียนเพื่อผิวหน้าสดใส ได้คลายเครียด แล้วก็อย่าลืมดื่มน้ำมากๆ วันละ 8-10 แก้วอีกวิธีที่ไม่ยากแค่ทานผลไม้ที่มีไฟเบอร์เยอะๆ อย่าง ลูกพรุน ราชาแห่งไฟเบอร์ เพราะมีไฟเบอร์มากกว่ากล้วยและสับปะรดหลายเท่า
>>>แต่สาวๆ อาจจะเห็นว่าพรุนสดตามท้องตลาดมีราคาค่อนข้างแพง และหาซื้อได้ยาก ไม่ต้องห่วง เพราะเดี๋ยวนี้เค้ามีการนําพรุนสดๆ มาสกัดเป็นพรุนสกัดเข้มข้น เพื่อให้ง่ายต่อการรับประทานและยังอุดมด้วยแหล่งใยอาหารไฟเบอร์ชนิดโอลิโก ฟรุกโตสและอินซูลิน ที่สามารถเข้าไปช่วยบํารุงและช่วยให้จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเจริญเติบโตเต็มที่ มีเลือดฝาด ประโยชน์ของพรุนสาธยายไม่หมด
>>>นอกจากช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส พรุนยังแคลอรี่ต่ำ ไม่มีโคเลสเตอ-รอล ทําให้รูปร่างสมส่วนชวนมอง เรียกได้ว่าประโยชน์ของพรุนเอื้อให้สวยจากภายใน สดใสถึงภายนอกเชียวล่ะค่ะ คุณค่ามากขนาดนี้ล่ะที่ทําให้คุณสวยครบ
สูตรแบบ Beauty Balance....
>>>นอกจากไฟเบอร์แล้ว "พรุน" ยังเป็นผลไม้ที่มีธาตุเหล็กสูง นอกจากนี้ยังมีวิตามิน และแร่ธาตุหลายชนิด เช่น
วิตามิน B2 (Riboflavin) ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง กระบวนการสร้างช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ โดยเฉพาะกับผิวหนัง เล็บและผม
แคลเซียม (Calcium) ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน รักษาระดับการเต้นของหัวใจ ช่วยระบบประสาทให้เป็นปกติ
วิตามิน C (Ascorbic Acid) สารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) เป็นส่วนประกอบพิเศษที่ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทําลายเมื่อเซลล์ถูกทําลายโอกาสการเป็นมะเร็งก็มีสูงขึ้น วิตามิน C มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
>>>ดังนั้นการที่ลูกพรุนมี Anti-oxidant ในปริมาณสูงจะช่วยทําให้ร่างกายและสมองแก่ตัวช้าลง และมีอัตราการเกิดโรคมะเร็งน้อยลง มีส่วนช่วยในกระบวนการ สังเคราะห์เม็ดเลือดแดง ช่วยให้ร่างกายต่อต้านแบคทีเรียได้ดียิ่งขึ้น
วิตามิน E เป็น Anti-oxidant ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของออกซิเจนที่ไม่สมบูรณ์ภายในร่างกาย ช่วยในการไหลเวียนของโลหิต ช่วยยืดอายุของเม็ดเลือดแดงทําให้ผิวพรรณเนียนนุ่มชุ่มชื่น ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร
>>>ดังนั้นการรับประทานพรุนเป็นประจํา ไม่ว่าจะเป็นพรุนสด หรือพรุนสกัดเข้มข้น นอกจากจะช่วยในเรื่องระบบการขับถ่าย แก้ไขอาการท้องผูกได้แล้ว ยังช่วยขจัดสารพิษ ออกจากร่างกาย ลดความอ่อนเพลีย เมื่อยล้า ลดความเครียด และยังช่วยให้ผิวพรรณดีอีกด้วย จึงเป็นผลไม้ที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัยค่ะ
"สวยจากภายใน" สาวไหนๆ ก็ใฝ่ฝัน
>>>เพราะเป็นความสวยเดียวที่ยาวนานและยั่งยืน สวยแบบ Perfect น่ะง่ายนิดเดียว แค่คุมตัวเองให้อยู่หมัดด้วยเคล็ดลับดูดี อย่างขั้นตอนแรก..เริ่มจากพักผ่อนให้เพียงพอ เอ็กเซอร์ไซส์ผิวหน้าบ้าง โดยใช้นิ้วมือกดนวดเป็นวงกลมให้ทั่วใบหน้า ทั้งหน้าผาก แก้ม และคางวันละครั้ง กระตุ้นเลือดลมให้ไหลเวียนเพื่อผิวหน้าสดใส ได้คลายเครียด แล้วก็อย่าลืมดื่มน้ำมากๆ วันละ 8-10 แก้วอีกวิธีที่ไม่ยากแค่ทานผลไม้ที่มีไฟเบอร์เยอะๆ อย่าง ลูกพรุน ราชาแห่งไฟเบอร์ เพราะมีไฟเบอร์มากกว่ากล้วยและสับปะรดหลายเท่า
>>>แต่สาวๆ อาจจะเห็นว่าพรุนสดตามท้องตลาดมีราคาค่อนข้างแพง และหาซื้อได้ยาก ไม่ต้องห่วง เพราะเดี๋ยวนี้เค้ามีการนําพรุนสดๆ มาสกัดเป็นพรุนสกัดเข้มข้น เพื่อให้ง่ายต่อการรับประทานและยังอุดมด้วยแหล่งใยอาหารไฟเบอร์ชนิดโอลิโก ฟรุกโตสและอินซูลิน ที่สามารถเข้าไปช่วยบํารุงและช่วยให้จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเจริญเติบโตเต็มที่ มีเลือดฝาด ประโยชน์ของพรุนสาธยายไม่หมด
>>>นอกจากช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส พรุนยังแคลอรี่ต่ำ ไม่มีโคเลสเตอ-รอล ทําให้รูปร่างสมส่วนชวนมอง เรียกได้ว่าประโยชน์ของพรุนเอื้อให้สวยจากภายใน สดใสถึงภายนอกเชียวล่ะค่ะ คุณค่ามากขนาดนี้ล่ะที่ทําให้คุณสวยครบ
สูตรแบบ Beauty Balance....
>>>นอกจากไฟเบอร์แล้ว "พรุน" ยังเป็นผลไม้ที่มีธาตุเหล็กสูง นอกจากนี้ยังมีวิตามิน และแร่ธาตุหลายชนิด เช่น
วิตามิน B2 (Riboflavin) ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง กระบวนการสร้างช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ โดยเฉพาะกับผิวหนัง เล็บและผม
แคลเซียม (Calcium) ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน รักษาระดับการเต้นของหัวใจ ช่วยระบบประสาทให้เป็นปกติ
วิตามิน C (Ascorbic Acid) สารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) เป็นส่วนประกอบพิเศษที่ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทําลายเมื่อเซลล์ถูกทําลายโอกาสการเป็นมะเร็งก็มีสูงขึ้น วิตามิน C มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
>>>ดังนั้นการที่ลูกพรุนมี Anti-oxidant ในปริมาณสูงจะช่วยทําให้ร่างกายและสมองแก่ตัวช้าลง และมีอัตราการเกิดโรคมะเร็งน้อยลง มีส่วนช่วยในกระบวนการ สังเคราะห์เม็ดเลือดแดง ช่วยให้ร่างกายต่อต้านแบคทีเรียได้ดียิ่งขึ้น
วิตามิน E เป็น Anti-oxidant ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของออกซิเจนที่ไม่สมบูรณ์ภายในร่างกาย ช่วยในการไหลเวียนของโลหิต ช่วยยืดอายุของเม็ดเลือดแดงทําให้ผิวพรรณเนียนนุ่มชุ่มชื่น ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร
>>>ดังนั้นการรับประทานพรุนเป็นประจํา ไม่ว่าจะเป็นพรุนสด หรือพรุนสกัดเข้มข้น นอกจากจะช่วยในเรื่องระบบการขับถ่าย แก้ไขอาการท้องผูกได้แล้ว ยังช่วยขจัดสารพิษ ออกจากร่างกาย ลดความอ่อนเพลีย เมื่อยล้า ลดความเครียด และยังช่วยให้ผิวพรรณดีอีกด้วย จึงเป็นผลไม้ที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัยค่ะ
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554
มารู้จักวิตามินซี ( Vitamin C )กันคะ
วิตามินซี คืออะไร
ประวัติการค้นพบ วิตามินซี เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่สมัย ศตวรรษที่ 18 มีการสังเกตว่าพวกทหารเรือที่มีการรอนแรมออกเดินเรือไปในทะเลเป็นเวลานานๆ ซึ่งมักจะขาดแคลนพวกผักสดผลไม้สด จะป่วยเป็นโรคลักปิดลักเปิด และสุขภาพไม่ค่อยดี มีอาการอ่อนเพลีย อยู่บ่อยๆ แต่ก็มีคนสังเกตเห็นว่าจะไม่พบอาการดังกล่าวในทหารเรือที่รับประทานมะนาวเป็นประจำ และเมื่อต่อมาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากขึ้น ในปี 1982 ก็สามารถหาสารอาหารสำคัญที่เป็นต้นเหตุของโรคดังกล่าวได้ว่าสารที่พวกทหารเรือขาดไปคือ “กรดแอสคอร์บิค (Ascorbic acid)” ซึ่งมันมีฤทธิ์สามารถช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิดได้ ในปัจจุบัน กรดแอสคอร์บิค ก็ถูกรู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อของ “วิตามินซี” และมีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งซึ่งเคยได้รับรางวัลโนเบลถึง 2ครั้ง และมีอายุยืนยาวมากกว่า 90 ปีแม้จะป่วยเป็นโรค มะเร็ง มายาวนานถึง 20 ปีก็ตามคือ Dr.Linus Pauling ชาวเมืองพอรต์แลนด์ ได้เคยพูดไว้ว่า เหตุที่เขาสามารถมีสุขภาพดีและสามารถชะลอการลุกลามของโรค มะเร็ง ในตัวได้นานกว่า 20 ปี ก็เนื่องจาก วิตามิน และ เกลือแร่ ที่เขารับประทานเข้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิตามินซี ซึ่งหลังจากที่เขารับประทานขนาดสูงทุกวัน เขาก็ไม่เคยเป็นหวัดอีกเลย Dr.Linus Pauling เริ่มรับประทาน วิตามินซี ชนิดเม็ดตั้งแต่อายุ 40 ปี และเพิ่มขนาดสูงถึง 18,000 มิลลิกรัม เมื่อรู้ว่าตนเองเป็น มะเร็ง ตั้งแต่อายุได้ 64 ปี เขายืนยันว่ามันช่วยให้ มะเร็ง ในร่างกายสงบลง
ประโยชน์ของ วิตามินซี
เราทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า วิตามินซี มีประโยชน์มากมากหลายอย่าง ไม่ว่าจะช่วยปกป้องเซล เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับ เส้นเอ็น และคอลลาเจน ก็มีผลมาจากปริมาณ วิตามินซี ในร่างกาย และ วิตามินซี ยังมีฤทธิ์ในการเป็นสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่ดี จึงสามารถป้องกันการทำลายเซลจากอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และมันช่วยให้ร่างกายสามารถรีไซเคิลสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ ดังนั้นเพื่อประโยชน์สูงสุดจึงควรที่จะรับประทาน วิตามินซี ร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน ฟลาโวนอย เป็นต้น
นอกจากนี้ วิตามินซี ยังมีประโยชน์ด้านอื่นๆ อีก คือ
► วิตามินซี ช่วยบรรเทาความรุนแรงและระยะเวลาของการเป็นโรคหวัด หากเริ่มรับประทาน วิตามินซี ตั้งแต่เริ่มแรกที่เห็นอาการของโรคหวัด จะช่วยให้อาการป่วยลดความรุนแรงและหายได้เร็วขึ้น มีการศึกษาเมื่อปี 1995 พบว่าหากรับประทาน วิตามินซี 1,000 ถึง 6,000 มิลลิกรัมต่อวันตั้งแต่เริ่มมีอาการของโรคหวัด จะช่วยให้หายได้เร็วขึ้น 21% แต่ก็ยังไม่มีรายงานว่า วิตามินซี สามารถช่วยป้องกันโรคหวัดได้
► วิตามินซี ช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น เนื่องจาก วิตามินซี ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเองโดยการไปเสริมสร้างผนังเซล ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง และต่อต้านอาการอักเสบ จึงทำให้แผลหายได้เร็วขึ้น ในทางกลับกันการขาด วิตามินซี ก็สงผลให้แผลให้ได้ช้าลงเช่นกัน
► หากรับประทาน วิตามินซี เป็นประจำทุกวัน มันจะช่วยให้เหงือกมีสุขภาพแข็งแรง โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาเซลที่ถูกทำลายและช่วยให้แผลที่เหงือกหายเร็ว
► เพิ่มความต้านทานต่อ โรคหัวใจ โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับ คลอเรสเตอรอล ในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานร่วมกับ วิตามินอี โดยมันจะไปลดการเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด
► เนื่องจาก วิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดี มันจึงอาจจะช่วยในการป้องกันและต่อสู้กับโรค มะเร็ง ได้ มีการศึกษาอย่างมากในเรื่องนี้แต่ก็ยังไม่ข้อสรุปที่ชัดเจน โดยยังมีการถกเถียงกันอย่างมากเกี่ยว วิตามินซี กับการป้องกันและต่อสู้กับโรค มะเร็ง
► ช่วยในการป้องกันโรคต้อกระจก เนื่องจาก วิตามินซี สามารถช่วยปกป้องเลนส์ตาจากอันตรายต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ แสงอุลตร้าไวโอเลต ที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคต้อกระจก มีการศึกษาอันหนึ่งพบว่าผู้หญิงที่รับประทานวิตามินซีมาอย่างน้อย 10 ปี พบว่ามีความเสี่ยงที่จะมีอาการเลนส์ตาขุ่นมัวซึ่งเป็นอาการเริ่มแรกของโรคต้อกระจก ลดลงถึง 77%
► บรรเทาอาการแพ้ หอบหืด ไซนัส ทั้งนี้เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้ว วิตามินซี มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านภูมิแพ้ต่างๆ เช่น ฝุ่นละออง เกษรดอกไม้ ซึ่งอาการแพ้เหล่านี้ก็เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของโรคไซนัส นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า วิตามินซี ช่วยป้องกันและทำให้อาการหอบหืดดีขึ้น
► ช่วยป้องกันอาการไมเกรน เมื่อรับประทานร่วมกับ pantothenic acid โดย วิตามินซี จะไปช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเครียดได้ดีขึ้น
► ช่วยเรื่องความจำ โดย วิตามินซี จะไปช่วยรักษาสภาพของเซลประสาทและจะได้ผลดียิ่งขึ้นหากรับประทานร่วมกับอาหารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินอี แคโรทีน กิงโกะไบโลบ้า และโคเอนไซม์ Q10
ขนาดที่รับประทาน
ในสภาวะปกติปริมาณที่แนะนำให้รับประทานคือ 60 มิลลิกรัมต่อวัน (แต่ในคนที่สูบบุหรี่ 200 มิลลิกรัมต่อวัน) อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารเสริมสุขภาพได้แนะนำว่าเพื่อประสิทธิภาพที่ดีต่อสุขภาพควรจะต้องรับประทานอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน คนที่มีความเครียดควรรับประทานวันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน แต่หากต้องการผลในด้านการป้งกันโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง ความชรา ควรจะรับประทาน 250 – 1,000 มิลลิกรัม
หากเราได้รับ วิตามินซี น้อยกว่าที่ร่างกายควรจะได้รับ ก็จะเกิดลักปิดลักเปิด ซึ่งจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นหากขาดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานและไม่ต้องกังวัลว่าจะได้รับมากเกินไป เนื่องจาก วิตามินซี สามารถละลายน้ำได้ดี หากร่างกายไม่ได้ใช้ก็จะมีการขับออกมาได้ทางปัสสาวะ อีกทั้งยังไม่เคยมีรายงานเกี่ยวกับพิษที่เกิดจากการรับประทาน วิตามินซี แม้จะรับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 6,000 - 18,000 มิลลิกรัม
ข้อปฏิบัติในการรับประทานเพื่อประโยชน์สูงสุด
► เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดควรพิจารณารับประทานร่วมกับสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ เช่น วิตามินอี ฟลาโวนอย จะไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ วิตามินซี
► เพื่อสุขภาพทั่วไป ควรรับประทานอย่างน้อย 500 มิลลิกรัมต่อวัน
► สำหรับการรับประทานเพื่อการรักษาหรือการป้องกัน ควรรับประทาน 1,000 – 6,000 มิลลิกรัม ขึ้นกับโรคแต่ละชนิด
► การรับประทานไม่จำเป็นต้องรับประทานในครั้งเดียวต่อวัน สามารถแบ่งรับประทานเป็นหลายๆ ครั้งต่อวัน
► การรับประทาน วิตามินซี ไม่จำเป็นต้องรับประทานพร้อมอาหาร หรือทานอาหารก่อนการรับประทาน
►ยังไม่มีรายงานว่า วิตามินซี ชนิดพิเศษพวก Esterifies วิตามินซี จะให้ผลดีกว่าวิตามินซีแบบธรรมดา
ข้อควรระวัง
► การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุอื่นๆ เช่น Copper Selenium
►การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการผิดพลาดของผลตรวจระดับน้ำตาลในปัสสาวะได้
► วิตามินซี ทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี จึงอาจจะเกิดภาวะได้รับธาตุเหล็กเกิน
วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554
หน้าใส ห่างไกลสิว
1.สูตรหน้าใสด้วยน้ำผึ้งผสมมะนาว
ส่วนผสม: น้ำผึ้ง 1 ถ้วยน้ำมะนาว 1 ช้อนชา
วิธีทำ: ผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวให้เข้ากัน นำมานวดให้ทั่วใบหน้าประมาณ 15 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาดมะนาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเช่นเดียวกับครีมที่ผสมกรด AHA ส่วนน้ำผึ้งจะทำให้ผิวหน้านุ่มและชุ่มชื้น
2. สูตรหน้าใสด้วยแอปเปิ้ล
ส่วนผสม: แอปเปิ้ล ปอกเปลือกแล้วคว้านเอาเฉพาะเนื้อน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: นำเนื้อแอปเปิ้ลมาปั่นรวมกับน้ำผึ้ง ทาให้ทั่วใบหน้าแล้วนวดเบาๆ ทิ้งไว้ 15 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำเย็นสูตรนี้จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ทำให้ใบหน้าดูสดใสเปล่งปลั่ง อีกด้วย
3. สูตรกระชับรูขุมข
ส่วนผสม: กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศ เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งปอกเปลือก เอาเมล็ดออกให้หมดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆน้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยว
วิธีทำ: ใช้กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศก็ได้ เติมน้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยว นำไปปั่นให้ละเอียดจนเป็นเนื้อครีม นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่นสูตรนี้จะ ช่วยทำความสะอาดใบหน้า และกระชับรูขุมขนและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น
4. สูตรครีมทำความสะอาดผิวหน้า
ส่วนผสม: โยเกิร์ต ½ ถ้วยน้ำมันดอกทานตะวันมะนาวสด1½ ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: ผสมโยเกิร์ต น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมะนาวสดให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วหน้าประมาณ 5 นาที ทุกเช้าและก่อนนอน แล้วจึงล้างออก ด้วยน้ำสะอาดสูตรนี้ใช้ได้กับทุกสภาพผิว จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึก และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วย
5. สูตรสาวผิวแห้ง มอยเจอร์ไรเซอร์จากกล้วย
ส่วนผสม: กล้วย 1 ผลน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: บดกล้วยกับน้ำผึ้ง ผสมให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้นสูตรนี้เหมาะกับผิวแห้ง
หน้าใส เนียน
สูตร วิธีทําให้หน้าใส เนียน
1. อันดับแรกต้องเตรียมอุปกรณ์กันก่อนนะคะ
- ผงขัดหน้าสมุนไพร 1 ซอง (ใช้ครึ่งซองพอค่ะ)(เลือกตามที่ชอบได้เลยค่ะแต่เลือกยี้ห้อที่ไว้ใจนะค่ะ)
- มะนาว 1 ลูก
- น้ำผึ้ง 1 ช้อน
- ไข่ไก่ 1 ฟอง (เอาเฉพาะไข่ขาวค่ะ)
- น้ำเปล่าสะอาด 1 แก้ว (แต่ใช้พอประมาณพอนะค่ะ)
2. นำส่วนผสมดังข้อ 1. มาผสมกันทั้งหมดเลยค่ะ
และคนให้เข้ากัน มะนาวให้คั้นน้ำใช้ทั้งลูกเลยค่ะ ส่วนน้ำให้เติมที่หลังแต่ค่อยเติมนะค่ะเอาแบบให้ส่วนผสมข้น ๆ จากนั้นล้างหน้าให้สะอาดและเช็ดหน้าให้แห้งก่อน แล้วค่อยนำส่วนผสมทั้งหมดมาทาที่ใบหน้าแล้วถูกขัดใบหน้าอย่างเบา ๆ ให้ทั่วจนแห้ง เมื่อแห้งแล้วใ้ห้พักหน้าไว้ก่อน 15-30 นาที แล้วล้างออกค่ะ ทำแบบนี้อาทิตย์และ 1 ครั้ง ใบหน้าก็จะขาวขึ้น เนียนขึ้น และใสขึ้นอย่างแน่นอน และที่สำคัญสิวของคณก็จะค่อย ๆ หายไปอีกด้วยค่ะเมื่อเพื่อนๆ รู้ สูตร วิธีทําให้หน้าใส เนียน กันแล้วก็อย่าลืมนำไปลองทำตามกันดูนะค่ะ ส่วนผสมทุกอย่างมาจากธรรมชาติด้วยกันทั้งนั้นเลยค่ะ นอกจากจะประหยัดแล้วยังได้ผิวหน้าสวยกลับไปอีกด้วยนค่ะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)